เมนู

560. อรรถกถาอุปวานเถราปทาน

1

พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 10 ดังต่อไปนี้ :-
เรื่องราวของท่านพระอุปวาณเถระ อันคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร
นาม ชิโน
ดังนี้.
ได้ทราบว่า พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้ว ในพระ-
พุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็น
อันมากในภพนั้น ๆ เพราะถูกกรรมบางอย่างมาตัดรอน ในกาลแห่งพระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เขาจึงได้มาบังเกิดในตระกูลคนยากจน
บรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้เก็บเอาพระธาตุ
ของพระองค์ไว้แล้ว เมื่อพวกมนุษย์ เทวดา นาคราช ครุฑ ยักษ์ กุมภัณฑ์
และคนธรรพ์ พากันสร้างสถูปประมาณ 7 โยชน์ อันสำเร็จล้วนด้วยรัตนะ
7 ประการ ได้เอาผ้าอุตตราสงค์อันขาวสะอาดของคนทำเป็นธงผูกติดปลาย
ไม้ไผ่แล้ว ได้ทำการบูชา ณ ที่สถูปนั้น เสนาบดียักษ์ ชื่อว่า อภิสัมมตกะ
ถือเอาธงนั้น ได้ตั้งพวกเทวดาไว้เพื่อรักษาเครื่องบูชาที่พระเจดีย์แล้ว เป็นผู้
ไม่ปรากฏกาย ทรงตัวอยู่ในอากาศ ได้ทำประทักษิณพระเจดีย์ 3 รอบ. ด้วย
บุญกรรมอันนั้น เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุป-
บาทกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี ได้มีชื่อว่า อุปวาณะ
เจริญวัยแล้ว ได้มองเห็นพุทธานุภาพในการรับพระเชตวัน ได้มีศรัทธา บวช
แล้ว บำเพ็ญวิปัสสนา ได้อภิญญา 6 แล้ว. ก็โดยสมัยนั้น อาพาธเกี่ยวด้วย
โรคลมได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พราหมณ์ ชื่อว่า เทวหิตะ
ผู้เป็นสหายคฤหัสถ์ของพระเถระ อยู่ประจำในกรุงสาวัตถี. เขาได้ปวารณา

1. บาลีเป็นอุปวานเถระ

พระเถระไว้ด้วยปัจจัย 4. ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะนุ่งห่มแล้ว ถือบาตร
และจีวร เข้าไปยังนิเวศน์ของพราหมณ์นั้นแล้ว. พราหมณ์ทราบว่า พระเถระ
เห็นจักมาด้วยประโยชน์อะไรสักอย่างเป็นแน่ จึงพูดว่า พระคุณเจ้า ต้องการ
อะไร ก็พูดมาเถอะขอรับ. พระเถระเมื่อจะบอกถึงความประสงค์แก่พราหมณ์
นั้น จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า :-
พราหมณ์เอ๋ย ! พระสุคตมุนีเจ้า ผู้เป็น
อรหันต์ในโลก ถูกโรคลมเข้าเบียดเบียน ถ้า
ท่านมีน้ำอุ่นจงถวายแด่พระมุนีเจ้าเถิด การบูชา
แล้วแก่ผู้ควรบูชา การสักการะแล้วแก่ผู้ควร
สักการะ การนอบน้อมแล้วแก่ผู้ควรนอบน้อม
พระองค์นั้น.

เนื้อความแห่งบาทคาถานั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด อัน
พวกเทวดามีท้าวสักกะเป็นต้น และอันพวกพรหมมีท้าวมหาพรหมเป็นต้น
ได้บูชาแล้วแก่ผู้ควรบูชาในโลกนี้, ผู้อันพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าโกศล
เป็นต้น ทรงกระทำสักการะแล้ว แก่ผู้ควรสักการะ, ผู้อันพระขีณาสพผู้
แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่นอบน้อมแล้ว แก่ผู้ควรนอบน้อม, ทรงเป็นพระอรหันต์
เพราะไกลจากกิเลสทั้งหลายเป็นต้น, ทรงเป็นผู้เสด็จไปดี เพราะเสด็จไปได้
อย่างงดงามเป็นต้น ทรงเป็นพระสัพพัญญู เป็นพระมุนี คือพระศาสดาของ
พวกเรา ซึ่งทรงเป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา ทรงเป็นท้าวสักกะยิ่งกว่าท้าวสักกะ
ทรงเป็นท้าวมหาพรหมยิ่งกว่าพวกพรหม, บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้น ถูกโรคลม มีลมเป็นเหตุ เกิดการกระสับกระส่ายเพราะลมเป็นเหตุ

ทรงกลายเป็นผู้อาพาธ. ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านมีน้ำอุ่น, เราปรารถนาจะ
นำน้ำอุ่นนั้นไปเพื่อระงับอาพาธเนื่องด้วยโรคลมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระ
องค์นั้น ดังนี้.
พราหมณ์ ได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงได้น้อมเภสัชระงับโรคลม อันพอ
เหมาะกับน้ำอุ่นนั้นเข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ก็โรคของพระ-
ศาสดา ได้ระงับแล้วด้วยเภสัชนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำ
อนุโมทนาแล้ว แก่พราหมณ์นั้น.
ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะ ได้ระลึกถึงบุรพกรรมของตน ในกาล
ต่อมา เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมา
แล้วในกาลก่อน จึงได้กล่าวคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปทฺมุตฺตโร เป็นต้น มีเนื้อความตามที่ได้กล่าว
มาแล้วในตอนต้นนั่นแล. บทว่า มหาชนา สมาคมฺม ความว่า ชาวชมพู-
ทวีปทั้งสิ้น ได้รวมกันเป็นกลุ่ม. บทว่า จิตกํ กตฺวา เธอมีความว่า ชน
ทั้งหลายได้ทำจิตกาธาน ด้วยหมู่ไม้จันทน์สูงตั้งโยชน์ แล้วยกพระสรีระของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นวางบนจิตกาธานนั้น. บทว่า สรีรกิจฺจํ กตฺวาน
ความว่า การทำกิจคือการเผาด้วยไฟ คือ การจุดไฟ. บทว่า ชงฺฆา มณิมยา
อาสิ
ความว่า ทางเท้า ไปที่สถูปอันพวกมนุษย์สร้างขึ้นไว้ คือ สร้าง
ทำด้วยแก้วมณี ได้แก่ ทำสถานที่นั้นด้วยแก้วอินทนิล เพื่อนำดอกไม้ไป.
บทว่า มยมฺปิ ความว่า พวกเทวดาทั้งหมดจักสร้างสถูปไว้แน่. บทว่า
ธาตุ อาเวณิการ นตฺถิ ความว่า พระธาตุไม่มีเป็นแผนก ๆ เพื่อที่พวกเทวดา
และมนุษย์จะสร้างเจดีย์ไว้เป็นแห่ง ๆ เมื่อจะแสดงถึงพระธาตุนั้น ท่านจึง
กล่าวไว้ว่า สรีรํ เอกปิณฺฑิตํ เป็นต้น, อธิบายว่า ด้วยกำลังแห่งการอธิษฐาน

พระสรีรธาตุทั้งสิ้น จึงได้เป็นเพียงก้อนเดียวเท่านั้น เปรียบดุจพระปฏิมาที่
สำเร็จด้วยศิลาก้อนเดียว ฉะนั้น. บทว่า อิมมฺหิ พุทธถูปมฺหิ ความว่า พวก
เราทั้งหมด จักมาพร้อมกันแล้ว ช่วยกันสร้างเครื่องปกคลุมสถูปไว้ ณ สถูป
ทองคำนี้ ที่พวกชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นได้พากันสร้างไว้แล้ว. บทว่า อินฺทนีลํ
มหานีลํ
ความว่า แก้วมณีที่มีสีและแสงดุจดอกบัวสีน้ำเงิน เรียกว่า แก้ว
อินทนิล. เชื่อมความว่า ชื่อว่า แก้วมณีก้อนใหญ่ เพราะมีสียิ่งด้วยแก้ว
อินทนิลนั้น, เราได้นำเอา แก้วมณีอินทนิล แก้วมณีสีเขียวชนิดก้อนใหญ่
แก้วมณีโชติรส และแก้วมณีสีแดงโดยชาติ มารวมเป็นก้อนเดียวกัน แล้ว
ทำเป็นเครื่องคลุมที่สถูปทองคำ ปกคลุมไว้แล้ว. บทว่า ปจิเจกํ พุทฺธเสฏฺฐสฺส
ความว่า พวกประชาชนได้ทำสถูปด้วยเครื่องปกคลุมไว้ข้างบนเป็นแผนกหนึ่ง
เพื่อให้เป็นอิสระแด่พระพุทธเจ้าผู้สูงสุด. บทว่า กุมฺภณฺฑา คุยฺหกา ตถา
ความว่า เทวดาพวกที่มีอัณฑะประมาณเท่าหม้อ ชื่อว่า กุมภัณฑ์, จึงกลาย
มาเป็นชื่อกำเนิดเทวดาพวกครุฑ เพราะปกปิดทำให้มิดชิด, พวกกุมภัณฑ์
เหล่านั้น ตัวเองมีเครื่องปกปิด จึงได้สร้างสถูปมีเครื่องปกปิดบ้าง. บทว่า
อติโภนฺติ น ตสฺสาภา ความว่า แสงสว่างแห่งพระจันทร์พระอาทิตย์และ
หมู่ดาว จึงไม่สาดส่อง ไม่เล็ดลอดท่วมทับรัศมีแห่งพระเจดีย์นั้นได้. บทว่า
อหมฺปิ การํ กสฺสามิ ความว่า แม้เราก็จักทำสักการะบุญกิริยา คือกุศลกรรม
ได้แก่ การบูชาด้วยธงชัยและธงปฏาก ณ พระสถูปของพระโลกนาถเจ้าผู้คงที่
บ้าง.
จบอรรถกถาอุปวาณเถราปทาน

รัฐปาลเถราปทานที่ 11 (561)



ว่าด้วยบุพจริยาของพระรัฐปาลเถระ



[151] ข้าพเจ้า ได้ถวายพญาช้างเชือก
ประเสริฐ มีงาใหญ่งอนงามเสมือนงอนไถ แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้
เจริญที่สุดของโลก ผู้คงที่.
ข้าพเจ้า เป็นนายควาญช้าง นั่งอยู่บน
คอช้าง อันตกแต่งให้งามด้วยเศวตฉัตร ได้จ่าย
ทรัพย์แล้วให้สร้างสังฆารามทั้งหลังนั้น.
ข้าพเจ้าได้สละทรัพย์ 54,000 กหาปณะ
ให้สร้างปราสาททั้งหลาย กระทำการถวายทาน
ด้วยเครื่องไทยมีราคามาก แด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้มีพระคุณใหญ่.
พระมหาวีรเจ้า ผู้สัพพัญญู ผู้เป็นบุคคล
ผู้เลิศ ทรงยังมหาชนทั้งหมดให้ร่าเริงอยู่ ทรง
แสดงอมตบทแล้ว.
พระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ
ทรงกระทำธรรมนั้น ให้แจ้งแก่ข้าพเจ้า ประทับ
นั่งในท่ามกลางหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสพระคาถา
เหล่านี้ ว่า